วันอาทิตย์ที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

รัก มาจากไหนบ้าง

“รัก” มาจากไหน?
                    คำว่า “รัก” (Love) ไม่มีความหมายที่ลงตัวหรือเป็นมาตรฐานที่แน่ชัด เพราะแต่ละคนจะให้นิยามความหมายเอาตามประสบการณ์ที่ตนมีอยู่ และไม่รู้ว่า มันมาจากไหน เกิดขึ้นได้อย่างไร ที่จริงหากศึกษาและสังเกตให้ดีอย่างรอบคอบ รอบด้าน จะพบว่ามันมาจากพฤติกรรมของมนุษย์นี่เอง แต่เนื่องจากว่า ชีวิตในโลกนี่มีอะไรที่น่าศึกษาและน่าตื่นเต้นมากกว่า และมันก็ฝังอยู่ในยีนของทุกๆ คน จนไม่รู้สึกว่ามันมีอยู่
รัก มาจากภาษา
           สิ่งแรกที่เรารู้จักคำว่า “รัก” คือ ภาษา หมายถึงภาษาของแต่ละเผ่าพันธุ์ของตนเอง ที่เรียนรู้และเข้าใจในความหมายพร้อมกริยา ท่าทาง พฤติกรรมของกันและกันในแต่ละวัน จนเกิดภาพกริยา อาการ การแสดงออกของแต่ละเฟรม ของการเคลื่อนไหวร่างกาย สีหน้า อารมณ์ จิตใจ และเจตจำนง  จนนำไปสู่การเรียนรู้ พร้อมสร้างกระบวนการติดต่อ สื่อสารออกมาโดยเลียนแบบกัน ในที่สุดก็ถ่ายทอดกันเป็นรุ่นแล้วรุ่นเล่า
           ในหัวข้อนี้มุ่งเน้นที่จะรู้ว่า ความรักมาจากไหน เริ่มอย่างไร จึงต้องอธิบายที่มา ที่เกิดจากจุดกำเนิดของมนุษย์เองในเชิงวิเคราะห์ หากใครศึกษาด้านชีววิทยา ย่อมจะได้เปรียบที่มีทุนของชีวิต อันจะนำไปสู่การอธิบายให้เข้าใจว่า รักมันมีส่วนที่เกี่ยวข้องกับการกำเนิดของชีวิตด้วย ตั้งคำถามเล่นๆก่อนว่า ชีวิตที่เกิดมามันมีเส้นทางไปในลักษณะใด สัมพันธ์กับอะไรบ้าง เกิดอะไรขึ้นบ้าง แน่นอน โดยประสบการณ์ของผู้ที่เกิดมานาน ย่อมรู้ดีว่า ชีวิตกำเนิดจากบิดา มารดาในเบื้องต้น เติบโต ในท่ามกลาง และตายลงในที่สุด หากจัดให้เข้ากับเวลาได้ ๓ กาลคือ อดีต ปัจจุบัน อนาคต และในช่วง ๓ กระเปาะที่ว่านี้ คือ ช่วงแห่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับชีวิตในแต่ละวัน จนกลายเป็นไตรกาล แล้วนำไปสู่กระบวนการคิด จิตนาการ ความอยาก การเคลื่อนไหว ดิ้นรนต่อสู้ กินอยู่หลับนอนสืบพันธุ์ สร้างที่อยู่ สร้างครอบครัวขึ้นมา สุดท้ายก็ต้องลาจากโลกไป
           กระบวนการเช่นนี้ สำหรับเยาวชนจะไม่ค่อยเห็นภาพเฟรมของชีวิตในแต่ละช่วงได้ เนื่องจากว่า สมองยังมีข้อมูลไม่พอที่จะประมวลโลกทัศน์ได้ชัดเจน จึงต้องอาศัยการเรียนรู้ ลองรู้ ลองเสี่ยงเอาเอง จึงไม่มีข้อมูลความหมายของโลกที่เข้มข้น ทำให้มองเห็นแต่ความอยากรู้ อยากลอง อยากเสี่ยง แม้แต่เรื่อง ความรัก ที่เทเอียงที่วัยรุ่นอยู่ตลอดเวลา นั่นคือ ที่มาที่เราจะศึกษาว่า มันเกิดขึ้นอย่างไร มาจากไหนกันแน่
รัก มาจากพ่อแม่
           ก่อนหน้านี้ บอกว่า ชีวิตกำเนิดมาจากพ่อแม่ นั่นคือ ต้นกำเนิดของร่างกายของสิ่งชีวิตในเชิงกายภาพ เพราะสรรพสัตว์ทุกชนิดล้วนเกิดมาจากต้นแบบของตัวเองคือ พ่อพันธุ์ แม่พันธุ์ ความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตที่ต้องอาศัยเพศสืบพันธุ์ ก็เพื่อมิให้สายพันธุ์ของตนเองหดหายหรือกลายพันธุ์ไป ในระยะเวลาที่ยาวนาน นี่คือ เหตุผลหลักในการวางแผนที่แยบยลของสิ่งมีชีวิตที่อยู่บนโลก หากสิ่งมีชีวิตไม่อาศัยเพศอื่นสืบพันธุ์ สายพันธุ์อาจสูญพันธุ์ในเวลาไม่นาน ด้วยเหตุนี้เอง สัตว์จึงถูกกาลเวลาวิวัฒนาการให้ปรับตัวอยู่บนโลกได้ยาวนาน จนทำให้เกิดลูกหลานและถ่ายทอดดีเอนเอ ยีน ที่เป็นต้นแบบมาสู่ลูกได้อย่างไม่ปิดเพี้ยน ทั้งนี้ก็รวมไปถึงพฤติกรรม สัญชาตญาณด้วย
รัก มาจาก ธาตุต่างๆ ของโลก
           แต่เมื่อศึกษาไล่ที่มาจริงๆ เรากลับเห็นต้นธาตุ ต้นแบบมาจากธาตุทั้งมวลของโลกที่เราอยู่อาศัย เป็นตัวต้นกำเนิดร่างกายของพ่อแม่เราเอง หมายความว่า ร่ายกายของสายพันธุ์เองก็กำเนิดมาจากธาตุต่างๆ ของโลก สะท้อนอีกว่า สิ่งที่เกิดขึ้นกับชีวิตของลูกหลาน มาจากธาตุต่างๆ นั้นด้วยเช่นกัน ถ้ามองว่า ความรักมาจากพ่อแม่ แล้วพ่อแม่มาจากไหน คำตอบคือ ธาตุต่างๆ ของโลกนั่นเอง
รัก มาจากอดีตภพ
           กระนั้น เมื่อศึกษาสาวไปอีกว่า อะไรคือต้นเหตุให้ธาตุต่างๆ บังคับให้เราถูกหล่อหลอมมาเป็นรูปทรงของมนุษย์หรือมีปลายทางที่มนุษย์ คำตอบที่พอเป็นไปได้คือ วิญญาณ หรือผลกรรมของชีวิต ที่มาจากอดีตกาลหรือภพก่อนหรือมีต้นแบบที่ส่งบรรพบุรุษของเรามาเกิดด้วย  เราถูกสอนว่า ชีวิตที่เกิดมาได้ เพราะเราได้กรรมไว้ในอดีตและยังมีกิเลส มีเหตุคือ อวิชชาและตัณหา ที่ยังไม่หมด จึงต้องเวียนว่ายตายเกิดอีก การมองเช่นนี้ เป็นการมองที่ต่างออกไปถึงข้ามภพ ข้ามชาติ นั่นหมายความว่า ความรัก คู่ครอง โชคชะตา ย่อมพัดพาให้มาคู่กันจากชาติปางก่อนก็ได้
รัก มาจากความเชื่อทางศาสนา
           จุดนี้เองที่อาจกลายเป็นปัญหาถามได้ว่า ยังมีอำนาจอื่นที่ดลให้มนุษย์เกิดมาครองคู่กันได้ไหม คำตอบคือ มี ในศาสนาคริสต์มีความเชื่อว่า มนุษย์ถูกพระเจ้าสร้างมาและกำเนิดให้มนุษย์คู่แรกคือ อีฟและอีวา หมายความว่า พระเจ้าสร้างมนุษย์ให้มาคู่กัน แต่ในพระพุทธศาสนาบอกว่า เพราะอดีตชาติได้สร้างบุญร่วมกัน เรียกว่า บุพเพสันนิวาส แต่ในแง่วิทยาศาสตร์คำกล่าวเหล่านี้คงไม่พอที่เชื่อถือได้ เนื่องจากไร้หลักฐานเชิงวิทยาศาสตร์พิสูจน์
           การพบที่มาของชีวิตเช่นนี้ ทำให้เราไม่มั่นใจว่า ปัจจุบันอย่างเดียวคงไม่สามารถให้คำตอบได้รอบด้านนัก มันจึงเกี่ยวโยงไปถึงกาลอื่นด้วย  นั่นหมายความว่า ต้องศึกษาค้นคว้าจากอดีต จากตำรา ตำนาน คัมภีร์ ช่วยให้เห็นมุมมองจากคนรุ่นเก่าว่า มีความเชื่อ มีมุมมองอย่างไร
รัก มาจากความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่กับลูก
           เมื่อวิญญาณของชีวิตกำเนิดลงสู่ครรภ์ อยู่ครบ ๙ เดือน ก็คลอดออกมสู่โลก ในช่วงนี้ความรักริเริ่มกำเนิดขึ้นมาแล้วจากสายใยของแม่และลูก นั่นคือ สายใยใจรักของแม่ การสัมผัสจากอ้อมกอด ไออุ่นจากร่างกายแม่ จากน้ำนมของแม่ จากความรัก ความเมตตา อาทรของแม่ ที่ห่วงใยลูก อยากให้ลูกเติบโต จนเป็นเทวดาของพ่อแม่ รวมถึงกริยา ภาษาพูด ภาษากายของแม่ที่แสดงออกต่อลูก ทำให้ลูกซึมซับเอาความรู้สึกดีๆ มาปลูกไว้ในตัว จนกลายเป็นสัญชาตญาณไป นี่คือ จุดเริ่มแห่งรากรัก ที่เจริญเติบโต ขึ้นเป็นผู้ใหญ่ เพื่อพัฒนาไปสู่ความรัก การอยู่ครองคู่ และมีสายเลือดสืบสกุลอีกรุ่นต่อไป
ใจที่บกพร่อง รักเสมอ
           สรรพสัตว์ที่เกิดมาล้วนมีเข็มทิศแห่งรัก สายพันธุ์ กระตุ้นให้เกิดการหาคู่ สืบพันธุ์ทั้งสิ้น เราสามารถคาดการณ์ได้ว่า สัตว์ย่อมมีทางเดินไปเช่นนี้เสมอ เมื่อยังเด็กพวกเขายังไม่ได้แสดงออก ต่อเมื่อโตเป็นหนุ่ม สาว เริ่มดำเนินไปตามทิศทางของตัวมันเอง แม้จะกฎห้าม มีกฎหมาย กฎศีลธรรมคอยกำกับมิให้มนุษย์ละเมิดคู่กันก็ตาม มนุษย์ก็ยังละเมิดหรือผิดกฎกันอยู่ มันสะท้อนให้รู้ว่า แรงขับภายในของร่างกายนั้น มีอำนาจพอที่จะทำร้ายคนอื่น ข่มเหงคนอ่อนแอ หรือฆ่าแกงกันได้  เนื่องจากว่า สัญชาตญาณแห่งรัก ความใคร่ ความอยาก ความหลง จะทำให้ผู้คนหลงกลความรัก ความใคร่ ที่เหมือนมันบกพร่องอยู่เช่นนี้ตลอดไป ดังนั้น ผู้คนในโลกจึงโหยหา เรียกร้อง เรียกหาความรัก คู่ครองมาเชยชม นั่นเพราะแรงขับจากสัญชาตญาณแห่งสายพันธุ์นั่นเอง
           จากภาพทั้งหมดของสัตว์โลก ที่แสดงพฤติกรรม หมกหมักอยู่ในวงเวียนแห่งสายพันธุ์ ทำให้พวกเขาไม่สามารถกำหนดทิศทางของวิถีชีวิตที่ดีกว่า เหนือกว่าไม่ได้ จึงได้บ่น ทนทุกข์ กดดันอยู่ในภาวะซึมเศร้า เหงาหงอยอยู่จนตลอดชีวิต ไม่คิดว่า ชีวิตที่ดำเนินไปสู่อริยชีวีมีอยู่หรือไม่ จึงขาดความเชื่อมั่นในหลักการหรือทฤษฎีอื่น ทำให้ขาดวิสัยทัศน์ที่จะหาโอกาสได้หลุดพ้นโลกียวิสัย พ้นเยื่อใยแห่งรักอย่างสิ้นเชิงได้  เมื่อไม่รู้ชีวิต ไม่รู้ก้าวย่างทางชีวิต ความเชื่อมั่นก็ไม่เกิดขึ้น อันที่จริงเราไม่ได้เชื่อมั่นในตัวเองเพียงพอ จึงต้องแสวงหาครูสอน เพราะมนุษย์เกิดมาหากไม่รู้จักตัวเองดีพอ ย่อมท้อแท้งอแงง่าย แต่ถ้าค้นหาตัวเองเป็น จะพบขุมพลังที่ลึกลับสิงอยู่ในตัวเราเอง รวมไปถึงความรักที่เป็นเพียงมายา หลอนหลอกตัวเอง มองไม่ออกว่า มันคือ คนตาบอดที่นั่งสั่งการอยู่ภายในเรานี่เอง
           กว่าเราจะเข้าใจและรู้ดี มันก็ผ่านชีวิตไปครึ่งหนึ่งแล้ว เมื่อหันกลับมามองชีวิตที่ผ่านมา จึงพบว่า นั่นคือ ลูกโป่งที่ถูกเป่าลมเข้าไป โดยไม่มีอะไรอยู่ข้างในเลย แน่นอนว่า วัยผู้ใหญ่ ย่อมจะเข้าใจชีวิตได้ดีกว่าเด็กวัยรุ่นแน่นอน จึงทำให้ต่างวัยแสดงความรู้สึกเรื่อง รักต่างกันไปคนละมุม หากเราใช้ประสบการณ์เรียนรู้เอง ก็จะรู้เห็นต้นเหตุแห่งความรักที่เกิดจากตัวเองทั้งสิ้น แล้วใครจะคิดขัดแย้งแรงสัญชาตญาณ ที่สะสมมาหลายแสนปีละ นั่นหมายความว่า เรากำลังจะทรยศทรยศสายพันธุ์ของตนเอง ให้จบสิ้นลง และนั่นเป็นการปีนเกลียวกระแสโลกอย่างสุดโต่งด้วย
           ดังนั้น ความรักตามทัศนของคนเหนือโลก มันคือความคิดที่จอมปลอมที่หลอกหลอนเจ้าของให้ลุ่มหลง งมงายในโลกสัญชาตญาณ ที่แท้จริงที่เป็นแก่นสารที่ไร้ตัวตน ส่วนคนที่ตามกระแสโลก ความรักคือ แก่นแห่งการพึ่งพาของคนที่อ่อนแอ ที่บกพร่องกำลังใจตลอดเวลา ยากที่หลีกเร้น ในรสชาติที่หอมหวาน น่าตื่นเต้นอย่างนั้น จึงพอสรุป รักในทัศนะต่างมุมมองดังนี้
           ความรักจากพุทธศาสนารียกว่า “รักด้วยความเมตตา” (Loving kindness) กรุณาต่อกัน หวังดีต่อกัน ไม่มีความใคร่ในการแสวงหาความสุขทางโลกีย์กันและกัน
           ความรักจากพระเจ้าเรียกว่า “อกาเป” (Agape) ซึ่งเป็นความรักสากล ที่เอาใจผูกพัน สัญญาว่าจะทำ จะคิด เพื่ออุดมคติในการอยู่ร่วมกับพระเจ้าเมื่อสิ้นใจ เรียกอีกอย่าง่า อยู่ในภราดรภาพ
           ความรักของของหนุ่มสาว “รักเพื่อสืบสายพันธุ์” (Sensuality) เพื่อความใคร่ ได้อยู่ร่วมกัน อย่างมั่นคงตลอดไป เป็นความรักแห่งสัญชาตญาณของสัตว์โลก
           ความรัก ที่เรียกว่า “รักษ์” (Protection) มาจากพ่อแม่ ที่ต้องการดูแล ปกป้อง รักษาสายเลือดของตนเองให้อยู่กับตนตลอดไป
           ส่วนความรักที่ยิ่งใหญ่ของสัตว์โลกที่ไร้สิ่งใดเสมอเหมือนคือ “รักตัวเอง” (Selfish) ในบรรดารักที่เกิดขึ้นทั้งหมด มารวมลงที่รักตัวเองทั้งสิ้น
         

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น