วันพุธที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2556

"คำขอ รอพร" (Bless u all)

        ทุกเทศกาลปีใหม่ ผู้คนต่างก็เตรียมตัวสรรหาคำพูดให้กัน เพื่อแสดงการอวยพรต่อกัน ตามสถานะความเชื่อส่วนตัวและทางศาสนา บ้างก็ออกเดินทางไปยังสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ไปห้างซื้อของขวัญ ไปไหว้พระ สวดมนต์ ไปเสริมดวง ต่อชะตา ปารมี ขอให้โชคดี ร่ำรวย ไม่เจ็บไข้ มีสุขภาพดี ฯ การคิด การกระทำจึงกลายเป็นกระแสนิยมเหมือนกันและที่สุดกลายเป็นมวลชนกลุ่มใหญ่ ที่กำลังหลั่งไหลไปตามกระแสความเชื่อ ความคิด ซึ่งกระทบไปถึงอีกกลุ่มนั่นคือ พ่อค้า การขนส่ง นักบำบัดจิต ที่คอยอ้าแขนรับกระแสความเชื่อที่ไหลไปตามกัน อย่างไม่รู้ตัว ผลที่ปรากฏอีกอย่างคือ เส้นทางการสัญจร ล้วนคราคร่ำไปด้วยรถรา เต็มท้องถนน จนเป็นเหตุให้เกิดอุบัติเหตุจำนวนมาก
      
       นี่คือภาพที่ปรากฏในช่วงเทศกาลปีใหม่ ผู้เขียนนึกเห็นภาพสัตว์เวลามันอพยพหนีอากาศหนาวหรือไปหากินอีกที่ จะเห็นกลุ่มใหญ่ มีจำนวนมากมายเดินทางไปเป็นแสนๆ ทำให้เกิดภาพองค์รวมแห่งฝูงสัตว์ การที่สัตว์สัญจรไปเช่นนี้เป็นข้อเสียและข้อดี ข้อเสียคือ ถูกจับได้ง่าย ศัตรูย่อมรู้ว่าอยู่ไหน มีความอ่อนไหวง่าย เสี่ยงต่อการล่า แต่ละตัวไม่เป็นตัวของตัวเอง ส่วนข้อดีคือ แต่ละตัวต่างก็เป็นที่พึ่งกันเอง ศัตรูอาจงงที่จะล่า  อาจปลอบใจได้ว่าคงไม่ใช่เราเพราะมีจำนวนมากให้เลือก ซึ่งหากนำมาเปรียบกับพฤติกรรมของมนุษย์ก็คงไม่ต่างกันนัก ที่ฮือฮาเวลาปีใหม่ แล้วก็เฮฮาหาที่เที่ยว ที่กิน เพื่อให้รางวัลเป็นของตัวเอง นั่นเพราะว่า ถูกกระแสสังคมกระตุ้นให้เกิดการตื่นตัว จนลืมคิด ลืมไตร่ตรองถึงผลกระทบที่เสี่ยงกับชีวิตของตนเอง คิดแต่ว่าไม่น่าจะเกิดกับเรา แล้วแต่ดวงแต่กรรม
 
      เมื่อหนึ่งชีวิตคิดว่าตัวเองคงไม่เจออุบัติเหตุ ก็ยิ่งเหลิงใจ มั่นใจที่จะเดินทางเข้าร่วมสุ่มเสี่ยงกับกลุ่มอาสากล้าตายกับมหาชนในเวลามหาสนุกเช่นนี้ และมักคิดว่า ปีหนึ่งมีครั้งเดียว สนุก เที่ยว กินให้เต็มที่ ก่อนที่จะไปทำงานต่อ เป็นเรื่องสิทธิส่วนบุคคลที่จะคิด ที่จะกระทำตามใจปรารถนา ที่สุดก็สรุปเอาว่า เราอยู่ในโลกแห่งความเสี่ยง เหมือนกันทุกคนก็ต้องยอมรับ แล้วแต่เวรแต่กรรม อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด คำพูดเหล่านี้เป็นการดื้อดึงแกมหละหลอมในการดำเนินชีวิตในโลกนี้ เพราะชีวิตถูกกระแสสังคมหล่อหลอมมาตั้งแต่เด็ก จนกลายเป็นสายเลือดของคนเมืองหรือคนทำงาน ที่ถูกกดดันอยู่ในพื้นที่แคบๆ และอยู่ในฐานะที่ถูกกดขี่ในใจมาตลอดปี เมื่อถึงวันเวลาปลดปล่อยจึงขับออกมาให้หมด เพื่อจะได้เติมใหม่อีกที ซึ่งทำให้วิถีชีวิตจมหมกอยู่กับความกดดันที่ทับถมไว้ใต้จิตใจเสมอมา
 
        อีกกลุ่มหนึ่งก็มีแนวคิด แนวเชื่อในทางลึกลับ ที่ไม่อาจอธิบายได้ แต่อาศัยความเชื่อเป็นเชื้อให้กระทำกันไป ตามแรงกระตุ้นของคนลวง ว่าเวลาปีใหม่ให้ไปไหว้พระ ไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ต่อชะตา เสริมดวง ให้โชคดี ร่ำรวย โรคภัยไข้เจ็บจะได้ไม่มี การกระทำเช่นนี้เชื่อว่า "ขอพร รอพร" ให้สมปรารถนา ทำไมคนไทยจึงเชื่อเช่นนี้ พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่สอนในเรื่องปัญญา ให้รู้ทันกฏความจริงของธรรมชาติ และความจริงของชีวิต แต่คนไทยกลับมีความเชื่อเช่นนี้ ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า ไม่ได้เข้าใจแก่นแท้ของศาสนาที่ตนนับถือเลย แถมยังใช้ศาสนาไปในทางที่ผิดอีก ศาสนาพุทธสอนให้รู้จักหลักความจริง หลักแห่งการกระทำด้วยตัวเอง มิใช่พึ่งพิงสิ่งลึกลับ ที่อธิบายเชื่อมโยงให้เห็นเหตุผลของพฤติกรรมจักวาลไม่ได้ ยกเว้นปัญญาของมนุษย์เองที่สามารถสอนให้เข้าถึงตนเองได้อย่างหมดจด
 
          เป็นเรื่องที่เราจะยอมรับโดยไม่ต้องชี้แจงหรือแสดงความจริงให้ความรู้ ความเข้าใจต่อเพื่อนร่วมโลกด้วยกันหรือไม่ หากเป็นเช่นนั้นเราคงต้องกอดคอกันไปยังที่มืดร่วมกัน แต่โชคดีที่สังคมเรายังมีผู้ปัญญา มีตาสว่างที่มองเห็นทาง ที่จะชี้บอกให้เรารู้ เราเห็นว่า ทางเดินที่สว่างไสวมีอยู่ ลืมตา รวมปัญญาหาทิศทางรอดใหม่ๆ มิใช่ไหลหลงไปตามกระแสนิยมกันหมด เรามีชีวิต จิตใจ มีสมอง มีศาสนาพุทธเอาไว้ทำไม คุณค่าและศักยภาพของชีวิตมนุษย์มีค่ามากกว่าที่เราทำแค่บำบัดทุกข์ หรือสบายใจ ความสามารถของเรามีมากกว่าที่เราคิด เราเห็น มิใช่พอถึงวันปีใหม่ก็ตื่นตูม ชุมนุมสนุกสนานกัน กินเที่ยวจนเสียสติ เลยไม่ได้สาระอะไรจากกาลเวลาที่สอนเรา แทนที่จะได้ข้อคิด ข้อธรรมตามกาล กลับต้องไปเสี่ยงเหมือนกันบนท้องถนน รอดกลับมาก็ถือว่า โชคดี แล้วเราจะไปเสี่ยงภัยทำไมละ ถามตัวเองให้มาก
 
         แต่อย่างไรก็ตาม ปีนี้ก็ถือว่าเป็นนิมิตหมายที่ดีที่ชาวไทยตื่นตัวมาสวดมนต์ข้ามปี ไปไหว้พระแทนไปเที่ยวต่างจังหวัด ที่จริงเด็กวัยรุ่นก็พอยอมรับกันได้ เพราะพวกเขาพึ่งเกิดมาสู่โลกนี้ได้ไม่นาน อาจยังไม่เข้าใจโลกดีพอ ยังคงตื่นเต้น ตื่นใจกับเทศกาล ผู้คนหลั่งไหล แสงสี ที่เที่ยวอยู่ ปล่อยให้เขาเที่ยวจนอิ่มตัวก่อน แต่สำหรับคนที่ผ่านร้อน ผ่านหนาวมามากแล้ว ย่อมมองวิถีชีวิตของโลกออก และควรชั่งใจว่า อะไรที่น่าจะเกิดประโยชน์แก่ชีวิตตนมากสุด หรือควรจะถอนใจออกจากสิ่งมายาเหล่านั้นได้แล้ว แล้วหันหน้ามามองตัวเอง เก็บความดีให้แก่ตนให้มาก แสวงหาประโยชน์จากโลก จากชีวิต สังคมนี้ให้มากเข้าไว้ อย่าปล่อยใจไปตามกระแสโลกจนตกอยู่ในโลกมากไป เพราะเราจะหาตัวเองไม่เจอ แม้ว่าผู้ที่เข้าวัด เพื่อไหว้พระ สวดมนต์ ทำบุญ ตักบาตรนั้น ก็ใช่ว่าตัวเองจะทำถูกเสมอไป อย่าหลงไหลคำเชื้อเชิญทางวัดต่างๆ หรือทางรัฐหรือสื่อโฆษณาแล้วกัน ควรจะตั้งเป้าหมาย ขยายแนวคิด พัฒนาจิตใจ ปัญญาให้มากขึ้นกว่าเดิม มิใช่ทำอย่างว่าแล้วก็บอกว่าได้ทำแล้ว  แต่คุณภาพของใจมีพัฒนาการอย่างไรบ้าง
 
         ดังนั้น บทความกึ่งวิจารณ์นี้ จึงขอเตือนท่านว่า อย่าหลงโลกมายาจนลืมตัวเอง หาจุดยืนให้กับตัวเองไม่ได้ อย่าเชื่อสื่อ อย่าเชื่อศาสนาที่เชิญเข้าวัดจนมืดบอด อย่าเชื่อว่าตัวเองทำดีแล้ว จนเหลิงว่าทำมามากแล้ว  แต่สิ่งที่ควรเสริมเติมเต็มคือ รู้เท่าทันโลก รู้เท่าทันคน รู้เท่าทันศาสน์ รู้เท่าทันตัวเอง สิ่งที่น่ากลัวและสอนยากคือ ใจเราเอง ที่ถูกเลี้ยงมานาน จนกลายเป็นเจ้านายใหญ่ในชีวิตของเรา บางทีเราต้องกล้าทรยศกับมัน บางทีต้องตั้งกฏปรามมัน หากเราปราบกบฏในใจได้ ความสุขก็จะปรากฏขึ้นเองในที่นี่ มิใช่เดินทางไปเชียงใหม่หรือทะเลหรือวัดดังเลย และอีกอย่าง เวลาเทศกาลอะไรตั้งสติให้รอบคอบก่อน อย่าแห่ตามกระแสสังคม มิฉะนั้นก็จะกลายเป็นเหยื่อของพ่อค้า นักธุรกิจ คนที่ฉลาดคอยล่อลวงเอาเงินจากกระเป๋าเรา ทำงานมาแทบตาย แต่มีคนมาช่วยใช้อย่างสบาย คนที่ตกเป็นเหยื่อคือ คนหลงโลก หรือว่าท่านยอมรับกฏแห่งการลวงโลกไปเสียแล้ว
         
          ท้ายนี้ก็ขอฝากให้คิดว่า  ปีใหม่ใช่ว่าจะขอพร รอพรใหเป็นดั่งที่พูดกัน แม้มันคือ เทศกาลการแสดงมายาให้กัน ปลอบใจกัน ให้พรกัน แต่มันไม่มีทางเป็นจริงได้ หากยังประมาทหรือแสดงพฤติกรรมที่แย้งกับคำพูดดีต่อกันอยู่ แต่ละปีญาติต้องมาลุ้นความเสี่ยงว่า จะรอดพ้นปีใหม่จากการเดินทางหรือไม่ พรมันแค่ส่งผลขณะพูดเท่านั้น หลังจากนั้น ขึ้นอยู่พฤติกรรมของใครของมัน สติและปัญญา ความรอบคอบ คือ พรที่ลุ่มลึกในสมองของมนุษย์ที่จะคอยคุ้มภัยแก่ตนเอง มิใช่พอถึงปีใหม่มาอวยพรว่า ขอให้มีความสุข Have u Happiness in New Year  กาลเวลา วัน เดือน  ปี มันทำหน้าที่ของมัน มันไม่รู้หรอกว่า ใครจะสุขจะทุกข์ ยกเว้นจิตเท่านั้นรู้ปรากการณ์ของโลก
 
 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น